1. นายกีและนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ คหบดีคนสำคัญของเมืองเชียงใหม่ในอดีตที่เรียกร้องให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งดินแดนล้านนาเมื่อปี 2493 และอีก 10 ปีต่อมา คณะรัฐมนตรีจึงมีมติอนุมัติให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ขึ้น โดยมี ม.ล.ปิ่น มาลากุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น
2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภูมิภาคที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2508 จึงให้นับว่าเป็นสถาปนาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
3. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีพื้นที่ทั้งหมด 579 ไร่ 68 ตารางวา มีที่มาจาก 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรกเป็นที่ดินของนายกี - นางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ ซึ่งนอกจากจะขายที่ดินในราคาเท่าทุนเพื่อเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว ต่อมายังได้บริจาคที่ดินเพิ่มเติมอีกด้วย ส่วนที่ 2 มีเนื้อที่ประมาณ 172 ไร่ เป็นของคุณบุญอยู่ โปษะวัฒน์ เจ้าของตลาดบุญอยู่ ซึ่งแต่เดิมใช้ทำสวนต้นนุ่น ปัจจุบันคือที่ดินตั้งแต่ตึกธรณีวิทยา คณะสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และหอพักอ่างแก้ว ส่วนที่ 3 เป็นของประชาชนทั่วไป ซึ่งมีหลายเจ้าของ เนื้อที่ประมาณ 243 ไร่ และส่วนที่ 4 เป็นที่ดินและลำห้วยต่างๆ ในเขตป่าสงวนที่ไม่ต้องซื้อ รวมแล้วเป็นจำนวน 579 ไร่ กับ 68 ตารางวา
4. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดเรียนวันแรกเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2507 ซึ่งตอนนั้นมีเพียง 3 คณะ ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ต่อมาคือคณะแพทยศาสตร์เป็นลำดับที่ 4 โดยโอนจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์มาสังกัดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเดิมที คณะแพทยศาสตร์ เป็นโรงเรียนแพทย์ในส่วนภูมิภาค ก่อตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาแพทย์ขาดแคลน
5. ลูกช้างเชือกแรกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีทั้งหมด 291 คน ประกอบด้วย นักศึกษาชาย 146 คน และนักศึกษาหญิง 145 คน โดยมีอาจารย์เพียงแค่ 18 คนเท่านั้น
6. จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีอธิการบดีมหาวิทยาลัยมาแล้วทั้งหมด 16 คน ปัจจุบันคือ ศาสตราจารย์ ดร. นพ.พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล
7.ตราประจำมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นรูปช้างชูคบเพลิง มีภาษาบาลีว่า “อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา” อยู่ในกรอบเส้นรอบวงด้านบน และคำว่า “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2507” อยู่ด้านล่างตรงกลาง ระหว่างข้อความทั้งสองนี้ มี “ดอกสัก” คั่นกลางปรากฏอยู่ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ซึ่งมีความหมาย คือ
ช้าง เป็นสัญลักษณ์ของภาคเหนือ การก้าวย่างของช้าง คือความเจริญก้าวหน้า คบเพลิง คือ ความสว่างไสวแห่งปัญญาและวิชาการ
รัศมี 8 แฉก คือ คณะทั้ง 8 ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จะจัดตั้งขึ้นตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ดอกสัก ที่ปรากฏอยู่ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ถือเป็นต้นไม้ที่มีค่าสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ในภาคเหนือ
พุทธสุภาษิต “อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา” มีความหมายว่า บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน
8. ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประกอบด้วย 22 คณะวิชา 3 วิทยาลัย 1 บัณฑิตวิทยาลัย และมีการสอนทั้งหมด 340 หลักสูตร
9. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ออกนอกระบบเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2551 ที่ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2551
10. หอนาฬิกา เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญ ตั้งอยู่วงเวียนกลางมหาวิทยาลัย สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2519 ในยุคที่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ร้อยโท ยงยุทธ สัจจวาณิชย์เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเพื่อให้เป็นอนุสรณ์แก่ มช. และปัจจุบันหอนาฬิกา มช. มีอายุ 49 ปี โดยรูปทรงของหอนาฬิกาเป็นอาคารทรงสูงที่มีรูปแบบเรียบง่าย มีหน้าปัดนาฬิกา 4 ทิศอยู่ด้านบนสุด ทำให้มองเห็นได้จากหลายทิศทาง และเป็นหอนาฬิกาที่ใช้ระบบไฟฟ้า มีถ่านเป็นตัวเก็บไฟสำรอง และมีตู้คอนโทรลทำหน้าที่ควบคุมระบบทั้งหมอใกล้กับหอพักหญิงอาคาร 6
11. อ่างแก้ว อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อปี 2505 เพื่อทำเป็นอ่างกักเก็บน้ำภายในมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นจุดบรรจบของลำห้วย 2 สายจากดอยสุเทพ คือ ห้วยแก้วและห้วยกู่ขาว โดยชื่อเดิมคือ “อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว” แต่ต่อมา ศาสตราจารย์ มล.ปิ่น มาลากุล ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “อ่างแก้ว” ในปีเดียวกัน
12. ศาลาธรรม สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2507 เดิมใช้เป็นสถานที่จัดพิธีไหว้ครูของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่ภายหลังใช้เป็นสถานที่เปลี่ยนฉลองพระองค์และประทับพักพระอิริยาบถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและพระบรมวงศานุวงศ์ในคราวเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ซึ่งเหล่าคณาจารย์ ข้าราชการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็จะมาเฝ้ารอรับเสด็จ ณ สถานที่แห่งนี้ ต่อมาเมื่อหอประชุมมหาวิทยาลัยสร้างเสร็จจึงได้ย้ายสถานที่พระราชทานปริญญาบัตรและพิธีไหว้ครูไปยังหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยจึงได้ใช้ศาลาธรรมเป็นสถานที่จัดงานสำคัญของมหาวิทยาลัยในบางโอกาส
13. ศาลพระภูมิ หรือ ‘ศาลช้าง’ จัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2507 ณ บริเวณด้านหน้าของศาลาธรรมโดยศาลพระภูมิจะหันหน้าออกไปทางด้านหน้าของมหาวิทยาลัย เป็นที่เคารพสักการะและยึดเหนี่ยวจิตใจของนักศึกษา คณาจารย์ บุคลากรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และประชาชนทั่วไป ซึ่งภายหลังมีการบูรณะศาลพระภูมิและพื้นที่โดยรอบใหม่ให้สวยงาม และประกอบพิธีสมโภชเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562
14. ศาลาอ่างแก้ว เดิมทีเคยใช้เป็นสถานที่พระราชทานปริญญาบัตร ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นหอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำให้ปัจจุบันศาลาอ่างแก้วใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การเตรียมตัวก่อนขึ้นดอยของนักศึกษาในกิจกรรมรับน้องขึ้นดอย การรับน้อง และการออกกำลังกายเป็นต้น
15. หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถานที่รับพระราชทานปริญญาบัตรของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย
16. หอพักนักศึกษาในยุคนั้นจะเรียกว่า วิทยาลัย แบ่งเป็น หอพักนักศึกษาชายคือ วิทยาลัยที่ 1 และหอพักนักศึกษาหญิงคือ วิทยาลัยที่ 2 เมื่อจำนวนนักศึกษามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้คณาจารย์ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง ระบบวิทยาลัยจึงถูกยกเลิกไปใน พ.ศ. 2521 กลายเป็นหอพักนักศึกษาชาย และหอพักนักศึกษาหญิงทั่วไปจนถึงปัจจุบัน
17. อ่างเก็บน้ำตาดสีชมพู เป็นอ่างเก็บน้ำสำรองเพิ่มเติมจากอ่างแก้ว สร้างขึ้นมาภายหลังเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งของมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ด้านหน้าคณะนิติศาสตร์โดยจะรับน้ำจากห้วยตาดชมพูที่ไหลผ่านลงมาจากดอยสุเทพ มีความจุอ่างประมาณ 100,000 ลูกบาศก์เมตร มีระบบท่อสูบไปยังโรงผลิตน้ำประปา พร้อมทั้งสามารถรับน้ำจากแหล่งน้ำอื่น ๆ อาทิ ห้วยผาลาด และอ่างเก็บน้ำอื่น ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียงได้ในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังเป็นการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้นในบริเวณดังกล่าวตามนโยบายการพัฒนามหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน เขียว และสะอาด (Green and Clean Sustainability University) เพื่อพัฒนาให้เป็นพื้นที่สีเขียวสำหรับทำเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ
ที่มา
ว่ากันว่าหนึ่งในวิธีการขอบคุณตัวเองที่ดีสุด คือการลงทุนกับตัวเอง ซึ่งไม่ได้มีเพียงการเสาะแสวงหาความรู้เพื่อลับตนให้คมอยู่เสมอเท่านั้น การลงทุนกับสุขภาพร่างกายและความงามซึ่งเป็นภาชนะห่อหุ้มจิตวิญญาณของเราในทุก ๆ วัน ก็เป็นการขอบคุณและเสริมสร้างความมั่นใจที่มีแต่ได้กับได้เช่นกัน
เกิดเป็นหญิงแท้จริงนั้นแสนลำบาก คำกล่าวนี้ไม่เคยเกินจริง เมื่อเพศหญิงเกิดมาพร้อมกับการมีประจำเดือนในวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งอาการข้างเคียงในวันที่มามาก มีตั้งแต่ปวดท้องเพียงเล็กน้อยไปจนถึงปวดมากจนลุกไปทำงานแทบไม่ไหว บางรายเป็นไข้ อาเจียน และท้องเสีย จนต้องขอลางานโดยใช้โควตาของลาป่วย ปัจจุบันจึงมีการเดินหน้าของ "กลุ่มคนงานหญิงเพื่อความยุติธรรม" เรียกร้องให้ผู้หญิงสามารถลาในวันนั้นของเดือนได้โดยที่ยังคงได้ค่าจ้างตามปกติ
เมื่อตลาดแรงงานไม่ให้โอกาสเด็กจบใหม่ เพียงเพราะต้องการคนที่มีประสบการณ์ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ ?