แม้ว่าปี 2568 จะครบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สายสัมพันธ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการรับเอาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมส่วนหนึ่งมามายะหนึ่งในหลักฐานของความสัมพันธ์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นก็คือ “อาหาร” รสชาติจากจีนที่ค่อย ๆ ซึมซับและกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครัวไทย ซึ่งหลายเมนูที่เราคุ้นเคยในวันนี้ แท้จริงแล้วมีรากเหง้ามาจากวัฒนธรรมจีน
จากชามก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มยามดึก ไปจนถึงเต้าหู้ในอาหารเจ รสชาติที่เราคุ้นเคยเหล่านี้ ล้วนบอกเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากกว่าแค่ความร่วมมือทางการทูต
ย้อนไปหลายร้อยปีก่อน เมื่อเรือสำเภาจีนเทียบท่าที่ปากน้ำเจ้าพระยา พ่อค้าชาวจีนไม่ได้ขนมาเพียงเครื่องถ้วยและผ้าไหม แต่ยังหอบเอากลิ่นเครื่องปรุงและสูตรอาหารจากบ้านเกิดมาด้วย ทั้งซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว เต้าหู้ และบะหมี่ (มีต้นกำเนิดในจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น) ซึ่งถือเป็นของแปลกในตลาดสยามยุคนั้น
การอพยพของชาวจีนในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทำให้ “ครัวไทย” เริ่มเปลี่ยนรสชาติอย่างช้าๆ จากเดิมที่เน้นสมุนไพรและเครื่องแกงกลับมีกลิ่นหอมของกระเทียมเจียวและรสชาติของซีอิ๊วเข้ามาแทนที่บางส่วน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการผสมผสานที่เรียกว่า ไทยจีน อย่างแท้จริง
ทุกวันนี้ คนไทยจำนวนมากอาจไม่รู้ว่าอาหารไทยยอดนิยม หลายจานมีรากเหง้ามาจากแดนมังกร ไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยว ที่มาจากคำจีนแต้จิ๋ว ซึ่งในภาษาจีน “ก๋วยเตี๋ยว” (粿條) หมายถึงเส้นแป้งข้าวเจ้า เดิมทีเป็นอาหารสำหรับรแรงงานในตลาดริมน้ำ แต่เมื่อเข้าสู่ไทยก็ได้รับการปรับให้ถูกปาก ทั้งน้ำซุปที่มีรสชาติกลมกล่อมและเครื่องปรุงรสครบ 5 ชนิด (น้ำปลา น้ำตาล เกลือ พริกไทยป่น และ น้ำส้มสายชูหรือน้ำส้มพริกดอง) จนกลายเป็นหนึ่งในเมนูประจำชาติ

ข้าวมันไก่ ต้นตำรับข้าวมันไก่นั้นเดินทางมาจากเกาะไหหลำ เมื่อมาถึงไทย ได้ถูกปรับรสชาติให้จัดจ้านขึ้นด้วยน้ำจิ้มเต้าเจี้ยว ขิงและพริกสด ส่วน ราดหน้า และ ผัดซีอิ๊ว นั้นมีต้นกำเนิดจากอาหารกวางตุ้ง ก่อนจะถูกเติมกลิ่นคะน้าไทยและซีอิ๊วดำ กลายเป็นรสชาติแบบ “ไทยจ๋า” แบบทุกวันนี้
แม้แต่ เต้าหู้ วัตถุดิบธรรมดาในอาหารจีน ก็กลายเป็นหัวใจของเมนูอาหารเจในประเทศไทย ต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของการที่วัฒนธรรมอาหารหนึ่งถูกปรับให้เข้ากับความเชื่อและวิถีของอีกสังคมหนึ่งอย่างกลมกลืนรสชาติจึงไม่ใช่แค่เรื่องของปลายลิ้น แต่คือภาษาที่สองประเทศใช้สื่อสารกันโดยไม่ต้องมีล่าม
อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวจีนรุ่นแรกเริ่มตั้งถิ่นฐานในสยาม พวกเขานำเอาวิถีการกินจากบ้านเกิดติดตัวมาด้วย และเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ตามตลาดและริมทางเพื่อสร้างชีวิตใหม่ ร้านจำนวนไม่น้อยยังคงยืนหยัดมาถึงปัจจุบัน กลายเป็น “ตำนานรสชาติ” ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันของสองเชื้อชาติในชามเดียว ไม่ว่าจะเป็นย่านสำเพ็ง เยาวราช ตลาดน้อย ตลาดพลู หรือย่านถนนดีบุกของภูเก็ต ทั้งหมดนี้คือพื้นที่ที่รสชาติแบบจีนได้หยั่งรากและเติบโตคู่กับชุมชนไทย
ขณะเดียวกัน ภัตตาคารจีนหลายแห่งเติบโตเคียงคู่ไปกับเศรษฐกิจไทยยุคใหม่ สะท้อนบทบาทของชาวจีนโพ้นทะเลในเครือข่ายธุรกิจการค้า ส่วนร้านข้าวต้มกุ๊ยริมถนนที่คุ้นเคยกันดี ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมืองมานานนับทศวรรษ อาหารเรียบง่ายนี้ยังซ่อนประวัติศาสตร์ทางภาษาไว้ด้วย โดยคำว่า “ข้าวต้มกุ๊ย” เพี้ยนมาจากคำว่า “พุ้ย” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หมายถึง การใช้ตะเกียบคุ้ยข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว เป็นภาพสะท้อนความเป็นอยู่ของแรงงานจีนที่ทำงานหนักและต้องกินข้าวให้ทันเวลา
เมื่อมองลึกลงไปจะเห็นว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทย–จีนไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการค้าขายหรือโครงสร้างทางการทูตเท่านั้น หากยังซ่อนอยู่ใน “ชามข้าวต้มร้อน ๆ” ที่คนไทยและคนจีนแบ่งปันกันมาตลอดหลายชั่วรุ่น อาหารจึงทำหน้าที่เป็นสะพานที่เชื่อมให้สองสังคมเข้าใจกันผ่านรสชาติและวิถีชีวิตประจำวัน
และในปี 2568 นี้ ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน การเฉลิมฉลองที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพิธีทางการ แต่ยังขยายไปสู่วงการวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว “เทศกาลอาหารไทย–จีน” จึงถูกจัดขึ้นเพื่อสะท้อนความร่วมมือที่ยังคงแน่นแฟ้น หนึ่งในกิจกรรมสำคัญคือ “เทศกาลกินเจ เยาวราช 2568” ภายใต้แนวคิด “สัมพันธ์ที่ดี 50 ปีไทย–จีน” ซึ่งมุ่งยกระดับอาหารริมทางให้ก้าวสู่เวทีสากล แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ยังคงเดินหน้าต่อด้วยพลังของรสชาติและมิตรภาพไม่เสื่อมคลาย.
ตลอดกว่า 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย–จีน แม้หน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกเหตุการณ์สำคัญไว้มากมาย แต่ในชีวิตจริง สิ่งที่เชื่อมร้อยผู้คนทั้งสองชาติไว้อย่างลึกซึ้งกลับเป็น “อาหาร” จานโปรดของใครหลายคน ซึ่งเดินทางข้ามทะเลมาจากครัวจีนสู่ครัวเรือนไทย และขยายรสชาติสู่วัฒนธรรมการกินของสังคมไทยอย่างเป็นธรรมชาติ อาหารไทยหลายเมนูที่เราภูมิใจในวันนี้ แท้จริงแล้วถือกำเนิดจากเส้นทางอพยพ การค้าขาย และภูมิปัญญาของชาวจีนโพ้นทะเลที่หล่อหลอมเข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นอย่างแนบเนียน จนกลายเป็นรสชาติใหม่ที่คนไทยคุ้นเคย
การผสมกลมกลืนจึงมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในหม้อก๋วยเตี๋ยวหรือกระทะไฟแรงเท่านั้น หากยังปรากฏในวิถีชีวิตของผู้คน การกินด้วยกัน ทำงานด้วยกัน และถ่ายทอดสูตรอาหารจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนจึงมิได้เติบโตจากการทูตเพียงอย่างเดียว แต่เติบโตจากโต๊ะอาหารที่แบ่งปันกันมานานหลายทศวรรษ อาหารจึงไม่ใช่เพียงรสชาติ หากเป็นพลังเงียบที่ผลักดันให้มิตรภาพไทยจีนหยั่งรากลึกและงอกงามมาตลอดครึ่งศตวรรษ

ต่อไปนี้คือรายการอาหารที่ คนไทยจำนวนมากคิดว่าเป็นอาหารไทยแท้ๆ แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากจีน
ข้าวต้มและโจ๊กมีต้นกำเนิดมาจากอาหารเช้าของชาวจีนตอนใต้ เดิมเป็นอาหารเรียบง่ายสำหรับแรงงาน พ่อค้า หรือผู้เดินทาง แต่คนไทยนำมาปรับ เช่น ใส่กระเทียมเจียว พริกไทย หรือเครื่องในหมู กลายเป็นเมนูอาหารเช้ายอดนิยมของไทยแทบทุกภาค
มาจากเมนูจีนแต้จิ๋วชื่อ “蚵煎 (O-jian)” ของเดิมเป็นหอยผัดไข่เหนียวๆ แต่คนไทยนำมาใส่แป้งกรอบและน้ำจิ้มพริกเปรี้ยวหวาน ปัจจุบันกลายเป็นอาหารทานเล่นที่พบเห็นได้บ่อยไม่ว่าจะเป็นตลาดนัด ถนนคนเดิน ร้านอาหารตามสั่ง
ทั้งหมดมีรากมาจาก “อาหารกวางตุ้ง (Cantonese cuisine)” เมื่อมาถึงไทย ถูกนำมาปรับเปลี่ยนโดยใส่น้ำราดข้าวหมูแดงรสหวานจัด หรือซอสเป็ดย่างกลิ่นอบเชย กลายเป็น “อาหารไทยจีน” ที่อยู่ในร้านอาหารไทยแทบทุกแห่ง
อาหารทานเล่นอิ่มท้องที่เราคุ้นเคย ที่จริงแล้วเป็นอาหารจีนแท้มาจากภาคเหนือและตะวันออกของจีน คนไทยนำเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เกี๊ยวน้ำหมูแดง หรือบะหมี่เกี๊ยวแห้งหมูกรอบ แม้จะขายอยู่ทุกตลาดไทย แต่รากเหง้านั้นมาจากจีน

ของหวานกลุ่มนี้มาจากขนมจีนแบบโบราณที่ใช้ถั่วและแป้งเป็นหลัก คนไทยปรับรสให้อ่อนหวานหรือใส่น้ำขิงเพื่อเพิ่มรสชาติที่เข้มข้นขึ้น เป็นตัวอย่างของการผสมผสาน “ขนมจีน–ไทย” ที่กลมกลืน
กระเพาะปลาแท้จริงคือ “ซุปกระเพาะปลาจีน”ส่วนยำแหนมและลาบบางแบบมีเครื่องยำและสมุนไพรจีน เช่น กระเทียมเจียว ถั่วลิสงคั่ว พริกแห้งผง
วัฒนธรรมการดื่มชานั้นมาจากจีนโดยตรง แต่ไทยนำมาประยุกต์เป็น “ชาไทย” “ชามะลิ” “ชาเกสรบัวหลวง” ซึ่งปรับกลิ่นและสีให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น
เชียงใหม่ เมืองแห่งความหลากหลายของดนตรี ศิลปินหลาย ๆ ท่านต่างเกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นเชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่ศิลปินจากต่างแดนปรารถนาที่จะมาปักหลักอยู่
เหลืออีก 2 วันเท่านั้น (28-29 พ.ค. 2568) กับประเพณีบูชาเสาอินทขิล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ พิธีกรรมของชาวล้านนา 1 ปี มี 1 ครั้ง
นับถอยหลังสู่กิจกรรมรับน้องรถไฟ ต้อนรับลูกช้างเชือกใหม่ วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2568 กิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และได้ดำเนินมายาวนาน 60 ปี