ท่ามกลางสุนัขมากมายที่อาศัยอยู่ภายในอาณาบริเวณของมูลนิธิ ดิ อาร์ค สุนัขตัวหนึ่งดูแตกต่างไปจากตัวอื่น ๆ ด้วยสีหน้าดูเศร้าสร้อยและหดหู่ คล้ายว่ามันโดนเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ให้เผชิญโลกภายนอกตามยถากรรม
ชีวิตเขาสุนัขตัวนั้นช่างน่าเศร้า เมื่อโลกใบนี้ไม่ได้อบอุ่นเหมือนกับบ้านเก่าของมัน
จำนวนของสุนัขจรจัดที่เพิ่มมากขึ้นในสังคม ถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่รอการแก้ไข สุนัขจำนวนมากถูกปล่อยทิ้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยที่พวกมันไม่รู้ตัวเลยว่าการแยกกับเจ้าของในครั้งนั้น หมายความว่ามันอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกับเจ้าของที่มันรักอีกแล้วชั่วชีวิต
คำพูดที่ถูกกล่าวกันว่า “มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่อันตรายที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทุกชนิด” คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง ในด้านที่สวยงามนั้นก็มีให้เห็นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการที่มนุษย์มีจิตใจโอบอ้อมอารี คอยดูแลช่วยเหลือสัตว์จนเกิดเป็นความรักความผูกพัน แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน ในด้านที่โหดร้ายจึงปรากฎคนที่เขี่ยสัตว์เลี้ยงของตนทิ้งอย่างไร้ความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเพราะสัตว์เลี้ยงก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวบุคคลและทรัพย์สิน โดยที่เจ้าของไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมสัตว์เลี้ยงของตัวเองได้ หรือเพราะสัตว์เลี้ยงไม่ได้น่ารักอย่างที่ใจต้องการ ทำให้การเลี้ยงกลายเป็นภาระจนนำไปสู่การปล่อยทิ้ง
และนั่นคือสาเหตุของจำนวนสัตว์จรจัดที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน
สำหรับคนที่เบื่อหรือคนที่หมดรัก การปล่อยสัตว์เลี้ยงให้ออกไปเผชิญโลกกว้างตามยถากรรมอาจเป็นเหตุผลประกอบการกระทำของตนเอง แต่จุดจบของความสัมพันธ์คือการเริ่มต้นของความเดือดร้อนที่ส่งต่อไปสู่ผู้อื่นอย่างไม่ใยดี แม้ว่าปัจจุบันจะมีมูลนิธิต่าง ๆ ที่รับเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ รวมทั้งมีคนใจดีอีกมากมายที่คอยช่วยเหลือ หรือนำพวกมันไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่พร้อมจะเลี้ยงดู แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกมากที่ต้องเจอปัญหาจากการกระทำดังกล่าว
สัตว์เหล่านี้เดิมทีอาจจะมีนิสัยเป็นมิตร น่ารัก ว่านอนสอนง่าย แต่ทุกอย่างกลายเป็นอดีตไปแล้วเมื่อพวกมันถูกทิ้ง คนที่ถูกทอดทิ้งก้าวร้าวขึ้นเช่นไร สัตว์ที่ถูกทอดทิ้งก็คงจะเป็นเช่นนั้น เมื่อวันหนึ่งที่พวกมันไม่เหลือใคร ก็จำต้องปลุกสัญชาติญาณออกมาใช้เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในโลกอันโหดร้ายได้ และเมื่อสัตว์เหล่านี้ก้าวร้าวขึ้น บางคนที่เคราะห์ร้ายก็อาจจะโดนพวกมันเล่นงาน และในเมื่อสัตว์เหล่านี้เป้นสัตว์จรจัด ก็ยากที่จะเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากใคร
“เมื่อก่อนเจ้าตัวนี้มันขี้เล่นนะครับ แต่ความเป็นมิตรของมันทำให้คนบางคนไม่เกรงใจ กลั่นแกล้งเอาหนังสติ๊กไปรัดจนเส้นเลือดอักเสบจนกลายเป็นแผลแบบนี้” เกรียงสิทธิ์ จันทร์ทา รองประธานมูลนิธิ ดิ อาร์ค ในพระราชูปถัมภ์ (The ARK Foundation) ชี้ไปที่สุนัขตัวหนึ่งที่หน้าตาเหวอะหวะจนเห็นชั้นกระดูกข้างใน “เหตุการณ์นี้กลายเป็นปมในใจของมันจนถึงทุกวันนี้ ทำให้มันกลายเป็นสุนัขที่หวาดระแวงมาก ๆ ไม่กล้าที่จะให้ใครยุ่งเลย”
เมื่อโลกใบนี้โหดร้ายกับพวกมัน การที่สุนัขเลือกจะไม่ไว้ใจใครก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เช่นเดียวกับการที่สุนัขจรจัดบางตัวจะดุร้ายและไม่เป็นมิตร แต่ในขณะที่สุนัขกลัวและไม่ไว้ใจคน ก็มีคนมากมายที่กลัวสุนัขไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะเหล่าสุนัขจรจัดที่ดุร้ายและอาศัยใกล้เคียงกับบริเวณที่พวกเขาอาศัยอยู่ การที่ต้องพบเจอกับสุนัขทุกวันก็ชวนให้รู้สึกหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น
แต่สำหรับบางคนเรื่องราวไปไกลกว่านั้น พวกเขากลายเป็นเหยื่อของความรุนแรงที่เกิดจากสัตว์จรจัด จากการถูกพวกมันเล่นงานแบบไม่สนใจว่าเหยื่อจะเป็นใคร แถมความเคราะห์ร้ายที่ต้องเจอก็ไม่ได้รับการเยียวยาหรือการรับผิดชอบต่อความเสียหาย เพราะสัตว์เหล่านั้นไม่มีเจ้าของ จึงไม่มีผู้ที่จะมารับผิดชอบใด ๆ หากพวกมันก่อเรื่อง
พัชรวัลย์ เป็นหนึ่งในคนที่เคยถูกสุนัขจรจัดเล่นงานจนต้องเข้าโรงพยาบาล โดยเธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ในวันนั้นเธอเดินออกไปปากซอยที่อาศัยอยู่เพื่อจะขึ้นรถจักรยานยนต์รับจ้างไปมหาวิทยาลัยตามปกติ แต่ระหว่างทางมีสุนัข 2-3 ตัวซึ่งไม่มีปลอกคอเดินตาม ด้วยความตกใจ เธอเลือกที่จะวิ่งเพื่อไปให้ถึงที่หมาย แต่การทำเช่นนั้นกระตุ้นให้สุนัขเหล่านั้นไล่ตามและกัดที่ขาของเธอ ส่งผลให้พัชรวัลย์ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลและต้องหยุดเรียนไปโดยปริยาย
พัชรวัลย์กล่าวว่าการที่เธอตกใจมากเกินไปและวิ่งหนีทำให้ถูกกัด หากเลือกเดินต่อไปเฉย ๆ อย่างมากสุนัขเหล่านั้นก็คงจะแค่มาเลียหรือมาดมกลิ่นแล้วจากไป “ตอนแรกทำอะไรไม่ถูกเลย แต่พอเห็นแถวนั้นมีคุณลุงคนหนึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ เราเลยตะโกนให้เขามาช่วย เขาก็เลยถือไม้มาไล่ให้พวกมันไป ถ้าคุณลุงมาช้ากว่านี้ก็อาจจะเละไปแล้ว”
สำหรับสุนัขจรจัดที่ทำร้ายพัชรวัลย์ เธอกล่าวว่าเคยเห็นพวกมันอยู่ที่ตลาดสดแถวหอพัก แต่ก็ไม่เคยไปยุ่งหรือเล่นด้วยเลย เมื่อพวกมันเดินตามและจู่โจมเข้ามาหาเธอจึงตกใจและทำอะไรไม่ถูก ตอนที่โดนกัดเธอยังคิดว่าจะรีบไปทำแผลแล้วกลับไปเรียนต่อ แต่ก็นึกได้ว่าสุนัขเหล่านี้ไม่มีใครรู้ว่ามันเติบโตมาอย่างไร ดังนั้นตัวเองควรจะรีบไปฉีดวัคซีนป้องกันปัญหาไว้ เพราะคงไม่สามารถตามหาเจ้าของเพื่อที่จะสอบถามถึงประวัติความเป็นมาของสุนัขเหล่านี้ได้
ด้าน พงศ์สิริ เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่อาศัยอยู่กับครอบครัวในหมู่บ้านที่มีผู้คนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากในจังหวัดนนทบุรี เขาเป็นคนที่กลัวสุนัข แต่การต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีทั้งคนเลี้ยงสุนัขและสุนัขจรจัดในชุมชนก็สร้างความอึดอัดให้กับเขาพอสมควร “ผมไม่ชอบหมาเลยครับ ไม่ว่าหมาตัวนั้นมันจะดุหรือเปล่า ขนาดหมาชิวาว่าของลุงผมก็ยังกลัวเลยทั้งที่มันตัวเล็กนิดเดียว ไม่ต้องนึกเลยครับถ้าเป็นหมาจรจัด ห่างได้ก็ห่างดีกว่า”
พงศ์สิริเล่าว่าแม่ของเขาพบสุนัขจรจัดมาถ่ายอุจจาระไว้หน้าบ้านบ่อย ๆ ซึ่งไม่สามารถเรียกหาความรับผิดชอบจากใครได้ จนแม่ของเขาต้องไปหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวในโลกออนไลน์ “แม่ผมไปเจอบทความในเว็บไซต์ต่าง ๆ บอกว่าให้เอาขวดน้ำมาวางไว้หน้าบ้านให้ เวลาแดดส่องเงาจะสะท้อนเข้าตาสุนัขกับแมว แต่พอลองดูแล้วก็ไม่ได้ แม่ผมเลยลองใช้พริกกับน้ำส้มสายชูโรยใส่ถาดไว้ตรงบริเวณที่มันชอบมาขับถ่าย ผลก็คือดีขึ้นครับ ทุกวันนี้ก็ไม่ต้องมาเก็บกวาดแล้ว”
การที่มีผู้สูงอายุทั้งวคุณย่าและคุณยายอยู่ในบ้านเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ครอบครัวของพงศ์สิริกังวล เพราะผู้สูงอายุในบ้านมีกิจวัตรอย่างการเดินออกไปซื้อของในหมู่บ้าน “พ่อผมจะเป็นห่วงคุณย่ามาก เพราะตอนเย็น ๆ คุณย่าจะชอบออกไปซื้อของที่ร้านฝั่งตรงข้าม เรื่องรถไม่ค่อยห่วงเพราะคนในหมู่บ้านไม่ขับเร็วกันอยู่แล้ว แต่ที่พ่อผมกลัวคือสุนัขจรจัดในละแวกบ้าน กลัวว่าพวกมันจะมาวิ่งไล่คุณย่า คุณย่าก็อายุมากแล้ว ถ้าเป็นอะไรก็คงไม่คุ้มแน่ ๆ เราเองก็ไม่อยากไปทำร้ายพวกมันด้วย มันก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน”
สิ่งที่พงศ์สิริบอกเล่าคือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ถึงแม้เราจะไม่ได้อยากเลี้ยงหรืออยู่ร่วมกับสุนัขจรจัด แต่พวกมันก็ไม่ควรถูกทำร้ายเช่นกัน สัตว์ก็รักชีวิตไม่ต่างจากคน มันคงจะดูใจร้ายเกินไปหากสุนัขถูกทำร้ายหรือถูกเอาชีวิตเพราะมาขับถ่ายหน้าบ้านหรือส่งเสียงดังจนรบกวนเวลาของคน และต้องไม่ลืมด้วยว่าบางครั้งคนเองก็เป็นฝ่ายที่ก่อความวุ่นวายให้พวกมันเช่นกัน
ปัญหาสุนัขจรจัดหรือสัตว์ชนิดอื่น ๆ เป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไข ถึงทุกวันนี้จะมีหน่วยงานหรือมูลนิธิที่ช่วยดูแลรักษาสุนัขจรจัดอยู่หลายแห่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสังคมจะปล่อยให้เป็นเป็นหน้าที่ของพวกเขาในการจัดการปัญหานี้ อย่าลืมว่าหน่วยงานหรือมูลนิธิเองก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการดูแลสัตว์ และพวกเขาเองก็คงไม่สามารถจะดูแลสุนัขจรจัดทุก ๆ ตัวในสังคมได้
ทุกชีวิตมีคุณค่าในตัวเองเสมอ ไม่ควรมีใครถูกทอดทิ้งหรือเป็นเหยื่อของอารมณ์ ก่อนที่เราจะเริ่มทำอะไรก็ตาม เราอาจมีความสุขที่ได้ทำสิ่งนั้น แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ดีหากมีผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากความสุขของเรา หากทุกคนคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม โลกใบนี้ก็จะน่าอยู่ขึ้นสำหรับทุกสิ่งมีชีวิต ดังนั้นการที่ใครสักคนจะเริ่มต้นเลี้ยงสุนัข ก็ควรเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้านให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาทั้งต่อตนเอง สุนัข และผู้คนในสังคมที่อาจจะต้องมาแบกรับปัญหาไปด้วยในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง
เรื่อง : ธนบูรณ์ เตชะคุณากรกุล
ภาพ : Envato
บทความนี้เป็นผลงานของนักศึกษากลุ่มวิชาวารสารศาสตร์บูรณาการ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“หมุดหลักนี้ แสดงถึงเจตจำนงที่จะพิทักษ์ปกป้องผืนป่าแห่งนี้ไว้ มิให้ผู้ใดทำลาย และเพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณ อัตลักษณ์ของชนเผ่า คงไว้ซึ่งวิถีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์สืบไป” ข้อความสีแดงปรากฏบนหมุดหลักหนึ่งท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ถูกผูกด้วยผ้าสีส้ม เพื่อแสดงถึงเจตจำนงในการรักษาพื้นที่ป่า 39 ไร่ 54 ตารางวา อันเต็มไปด้วย ‘จิตวิญญาณ’ ของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์ ที่ได้เชื่อมโยงวิถีชีวิตของพวกเขาให้เข้ากับธรรมชาติ โดยผูกโยงศาสนา และความเชื่อดั้งเดิมเอาไว้ในผืนป่าแห่งนี้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เสพสื่อออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะ Instagram Twitter หรือ TikTok จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้คนให้อิสระกับการแต่งตัวมากขึ้น ไม่ว่าใครจะมีรสนิยมหรือความชอบแบบไหน ก็สามารถที่จะสร้างสรรค์สไตล์ของตัวเอง และแสดงออกออกมาได้อย่างสนุกสนานผ่านการแต่งตัว
‘สุนัข’ เป็นหนึ่งในสัตว์ที่ถูกทิ้งเป็นจำนวนมากในประเทศไทย จากปี 2559 ที่ข้อมูลระบุว่ามีสุนัขจรจัดจำนวน 758,446 ตัว แต่เมื่อถึงปี 2562 จำนวนสุนัขจรจัดเพิ่มขึ้นเป็น 2.493 ล้านตัว