ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว ผ่านอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่เราสวมใส่กันอยู่ทุกวัน หากแต่ยังมีหมู่บ้านเล็ก ๆ ในอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ อย่างกลุ่มวิสาหกิจผ้าฝ้ายของชุมชนบ้านเชิงดอย ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของเรื่องผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดสายใยเชื่อมโยงระหว่างชาวบ้านและธรรมชาติเข้าด้วยกัน
นางสาวทัญกานร์ ยานะโส ผู้ริเริ่มและประธานโครงการวิสาหกิจผ้าฝ้ายเชิงดอย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาเหล่านี้ จึงได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมา เพื่อช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชนจนได้รับรางวัล Green Product มาอย่างต่อเนื่อง
“การประกอบอาชีพทุก ๆ อย่าง หรือการดำเนินชีวิตของเราก็ตาม มีส่วนทำให้โลกร้อนอยู่แล้ว เพราะงั้นเราเชื่อมั่นว่า การทำแฟชั่นของเรามีกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราทำแบบทะนุถนอมให้อยู่ควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน”
ผ้าฝ้ายเชิงดอยมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามหลัก 4R ประกอบไปด้วย Reduce, Reuse, Recycle และ Repair ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตที่ปล่อยมลพิษน้อยที่สุด เริ่มตั้งแต่วัสดุที่นำมาใช้อย่างฝ้าย เป็นฝ้ายพื้นเมืองที่ชาวบ้านปลูกเอง และรับซื้อจากที่อื่นมาบางส่วน
เอกลักษณ์ของผ้าฝ้ายเชิงดอยคือ กระบวนการย้อมสีธรรมชาติแบบเย็นจากหินโมคคัลลาน ที่ทำให้ผ้าแต่ละผืนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่าย นอกจากนี้สีที่ได้ยังเป็นสีชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 3 ด้าน คือ ทนต่อการออกแดด ทนต่อการซัก อยู่ได้นานไม่เปลี่ยนสี มีคุณสมบัติเทียบเท่าสีเคมี โดยมีหัวใจหลักของการย้อมผ้าให้สีติดทนได้ดีคือ ‘หยวกกล้วย’ ซึ่งวิธีนี้ถูกริเริ่มมาจากคุณตาอินตา นันต๊ะเล ชาวบ้านในชุมชน
“เราก็เอาต้นกล้วย เอามาหั่น ๆ แล้วก็มาตำ ๆ เอาน้ำสดมาบีบใช้สองลิตร ทำให้เนื้อฝ้ายติด มีหลุดแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะอยู่ตามสภาพของมันเลย ทุกวันนี้เราใช้ยางกล้วยเป็นตัวนำของกลุ่มเราเลย แล้วมันก็ประสบความสำเร็จ”
หลังจากย้อมสีก็เข้าสู่กระบวนการทอผ้า หมู่บ้านเชิงดอยใช้ช่างฝีมือจากชาวบ้านกันเอง ซึ่งมีทักษะการทอผ้าที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ประธานโครงการวิสาหกิจผ้าฝ้ายเชิงดอยได้กล่าวว่า ทางหมู่บ้านใช้กรรมวิธีทอมือ เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาลายผ้าล้านนาดั้งเดิมไว้ มักเป็นลวดลายที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และวิถีชีวิตของชาวบ้าน
“เราเริ่มศึกษาการทำผ้าจกล้านนา เมื่อก่อนในชุมชนจะมีการทออยู่ 2 แบบ คือทอลายพื้นฐานธรรมดา ก็คือเป็นผ้าพื้น สีพื้น ๆ แล้วก็อีกลายหนึ่งจะเป็นลายยกดอก ก็จะเป็นลวดลายที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของเรามากกว่า แล้วก็เป็นลวดลายที่มาจากการนับถือพระพุทธศาสนาค่ะ”
ภาพผ้าฝ้ายลายยกดอก โดย นัทธมน กุลชานันท์
ภาพประกอบจากเพจ : ผ้าฝ้ายเชิงดอย
นอกจากการนำผ้าฝ้ายมาทอ และพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าพันคอ ฯลฯ ยังมีการนำเศษผ้าที่เหลือมาประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้ในทุกกระบวนการผลิตผ้าฝ้ายแทบจะไม่มีขยะเหลือใช้เลย
“ตั้งแต่การตัดผ้า พอมีเศษผ้าเราก็นำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์อย่างอื่นจนเหลือทิ้งน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเศษผ้าชิ้นใหญ่ เศษผ้าชิ้นเล็ก หรือเศษผ้าที่ใช้ทำอะไรไม่ได้แล้ว เราก็นำเอาไปให้เขาทำเป็นกระสอบมวย”
ประธานโครงการมีแนวคิดยกระดับผลิตภัณฑ์นำออกสู่สายตาของชาวโลกมากยิ่งขึ้น ผ่านการออกบูธ และมักจะใช้ช่างฝีมือชาวบ้านในทุกขั้นตอนการผลิต เกิดเป็นรายได้หมุนเวียนภายในชุมชน ไม่เพียงเท่านั้นองค์กรยังมีการสนับสนุน และให้สวัสดิการดูแลชาวบ้าน เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชนที่เข้มแข็งในที่สุด
“เราต้องการที่จะส่งเสริมให้มีการปลูกฝ้ายมากขึ้น ซึ่งเราส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกและรับซื้อ แล้วก็เอาดอกฝ้ายมาทำเส้นฝ้ายให้มีจำนวนเยอะพอที่จะไม่ต้องไปซื้อเพิ่ม เงินมันก็จะไหลเวียนในชุมชนมากขึ้น แล้วชาวบ้านก็จะมีรายได้มากขึ้น”
นอกเหนือจากนี้คุณตาอินตาวัย 71 ปี ปราชญ์ชาวบ้านได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตก่อนที่จะได้มาทำธุรกิจผ้าฝ้ายว่าเมื่อก่อนคุณตาเคยทำงานอยู่ในเหมืองแร่ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น อาชีพเดิมที่เคยทำก็ไม่สามารถกลับไปทำได้ เนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่ก็เพราะการรวมตัวของกลุ่มผ้าฝ้ายเชิงดอย จึงทำให้คุณลุงสามารถกลับมาประกอบอาชีพ สร้างรายได้ และเลี้ยงตัวเองได้อย่างเคย
“คนบ้านเฮาพื้นเพเราก็เล่นกับฝ้ายมานานละ พ่อแม่เขาก็อยู่กับฝ้าย ทอฝ้าย ปั่นฝ้าย คนที่แข็งแรงก็ไปทำงาน ที่แก่เฒ่าก็มาประกอบอาชีพกับกลุ่มเรา พอเลี้ยงตัวได้ ไม่ถึงขึ้นรวยมาก แต่ว่าพออยู่ได้ พอกิน“
ปัจจุบันอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและสิ่งทอเป็นต้นเหตุหลักของการทำลายสิ่งแวดล้อม จากการประชุม COP26 Fast Fashion ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเหลือทิ้งที่นำไปรีไซเคิลได้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด 10 ล้านตัน และโรงงานอุตสาหกรรมเสื้อผ้าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 8-10 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งมีปริมาณมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและขนส่งรวมกัน อันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดก๊าซเรือนกระจก
การผลิตผ้าฝ้ายในวิถีของกลุ่มผ้าฝ้ายเชิงดอยมีกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปล่อยมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยลดปัญหาจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้า และในอนาคตทางกลุ่มวิสาหกิจต้องการขยายกลยุทธ์ธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งต้นปลาย – กลางน้ำ – ปลายน้ำ ผ่านการส่งเสริมการปลูกฝ้ายให้มากขึ้น เพื่อให้กลายเป็นชุมชนผ้าฝ้ายออร์แกนิกที่สมบูรณ์
แผนภาพแสดงแผนธุรกิจภายในชุมชน โดย ณิชาพร ฉ่ำวารี
“เราเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากชุมชน เราอยากให้คนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำมากขึ้น ส่วนในอนาคตเราจะส่งเสริมการปลูกฝ้ายให้มากขึ้น ให้เป็นฝ้ายจากเชิงดอย ในอนาคตเราจะกลายเป็นฝ้ายเชิงดอยที่พูดได้เต็มปากว่าออร์แกนิก”
นอกจากนี้ได้มีหนึ่งในกลุ่มวิสาหกิจผ้าฝ้ายเชิงดอยกล่าวว่าต้องการให้กระทรวงวัฒนธรรมเล็งเห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ ซึ่งนั่นก็คือการอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิม และส่งเสริมให้ผ้าฝ้ายเชิงดอยได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ว่าใครก็ต่างเห็นคุณค่า ไม่ให้หายไปตามกาลเวลา
ปัจจุบันแม้จะมีวิธีการผลิตเสื้อผ้าที่รวดเร็ว และต้นทุนต่ำ แต่กลุ่มผ้าฝ้ายเชิงดอยยังจะคงรักษาวิถีชีวิตของชุมชนต่อไป ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้เป็นไปตาม Green Product และ BCG Models
แหล่งข้อมูล
เผยแพร่ครั้งแรก : Angkaew for Equality ปี 2021
บทความนี้เป็นผลงานของนักศึกษากลุ่มวิชาวารสารศาสตร์บูรณาการ คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เขียนโดย : โญสิตา จงใจ
ภาพ : นัทธมน กุลชานันทน์, ภูมิพัฒน์ ใจมาสิทธิ์, ณิชาพร ฉ่ำวารี
พิสูจน์อักษร : ณิชาพร ฉ่ำวารี
หม้อแปลงไฟฟ้าอัจฉริยะเป็นผลงานการวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. ที่คิดค้นหม้อแปลงที่สามารถคำนวณความต้องการใช้พลังงานของอาคาร และส่งข้อมูลไปยังแหล่งจ่ายไฟฟ้าเพื่อกำหนดปริมาณกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ
โมเดลรถสองแถวไฟฟ้า (EV) ที่เริ่มวิ่งให้บริการ 2 คันในเชียงใหม่ หวังต่อยอดไปสู่รถขนส่งและโดยสารอื่น ๆ ได้ในอนาคต
ทุกการตัดสินใจซื้อของคุณมีพลังในการเปลี่ยนแปลงโลก! ชวนศึกษาฉลากรับรองความยั่งยืน และวิธีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทำความเข้าใจกับ Greenwashing หรือการลวงให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความยั่งยืนของสินค้า