ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายนของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาที่ชาวเชียงใหม่ต้องผจญกับปัญหา PM2.5 ที่ยืดเยื้อ ยาวนานมาเป็นระยะเวลาหลายปี จนทำให้เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่มีมลพิษทางอากาศแย่ที่สุดในโลกเมื่อเดือนเมษายน 2566
ปีนี้ จังหวัดเชียงใหม่จึงเดินหน้าด้วยแผนเชิงรุกในการแก้ปัญหาฝุ่นควันอย่างเต็มกำลัง อาทิ การออกคำสั่งประกาศกำหนดเขตการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและเขตควบคุมการเผาของจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหลักการสำคัญคือให้ทุกพื้นที่ดำเนินการ กำหนดเขตการบริหารจัดการเชื้อเพลิง สามารถบริหารจัดการเชื้อเพลิงทางการเกษตรที่มีความจำเป็น และพื้นที่ป่าที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า และพื้นที่ที่มีความจำเป็นต่อการหยุดยั้งการลุกลามของไฟตามหลักวิชาการ
โดยต้องทำแผนการบริหารจัดการเชื้อเพลิงระดับอำเภอ และให้นำข้อมูลลงทะเบียนจัดการเชื้อเพลิงในระบบ Fire-D ณ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นของพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองระดับอำเภอหรือระดับตำบล (นำร่อง) พิจารณาอนุญาตก่อนดำเนินการพร้อมทั้งให้จัดทำแนวกันไฟและควบคุมไฟมิให้ลุกลาม และรายงานผลการดำเนินงานในระบบ Fire-D ทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ได้มีคำสั่งการของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกุล ถึงกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดยกระดับมาตรการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและ PM2.5 โดยการห้ามเผาอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด ทำให้สภาลมหายใจเชียงใหม่ และเครือข่ายเล็งเห็นว่า มาตรการดังกล่าวนี้ไม่ได้ตอบโจทย์เป้าหมายของการแก้ปัญหาไฟป่าหมอกควันโดยเฉพาะไม่สามารถนำมาใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้ง 77 จังหวัดได้ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีบริบทของความหลากหลายและแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ อีกทั้งคำสั่งห้ามเผาเด็ดขาด ยังอาจทำให้เกิดการแอบเผา เผาแล้วหนี เผาเพราะท้าทาย จนทำให้ไม่สามารถควบคุมได้
ทั้งนี้ นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าไม่เห็นด้วยกับนโยบายห้ามเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพราะมันไม่สอดคล้องกับหลักความเป็นจริง และยิ่งทำให้การเผาไปอยู่ในที่มืด จนอาจควบคุมไม่ได้
“PM2.5 เกิดจากการเผาทุกชนิด รถยนต์วิ่งก็คือเผาไฟกองเล็ก โรงไฟฟ้าถ่านหินก็ไฟกองใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมก็ไฟกองใหญ่ เผาตลอดเวลาทั้งปี เดือนที่ pm2.5 พีคก็ไม่หยุด ไม่มีใครโวยวายอะไร นายทุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ที่ส่งเสริมปลูกข้าวโพดกว้างขวางแล้วมีการเผาเกิดผลกระทบมากมาย ก็ไม่เห็นมีการกดดันแต่อย่างใด ขณะที่การเผาเพื่อการดำรงชีพกลับถูกไล่ล่าถูกจับกุมเหมือนดังฆาตกร นี่คือความไม่เป็นธรรม
“การจุดไฟโดยพละการ ไฟที่ไม่ความจำเป็น เห็นด้วยว่าต้อง zero burning ต้องใช้กฎหมาย แต่ไฟที่จำเป็นตามหลักวิชาการวนศาสตร์ต้องมีการบริหารจัดการควบคุมไม่ให้เกิดการลุกลามเพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุด ซึ่งทางเชียงใหม่ได้ร่วมกันดำเนินงานมาแล้ว ซึ่งถือว่ามีพัฒนาการที่ดี แต่อาจยังไม่สมบูรณ์ เห็นด้วยว่าต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ต้องพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ผมขอเรียกร้องให้ทาง กพร.สถาบันทางวิชาการ สกสว.ที่ทำวิจัยมีองค์ความรู้มากมายและร่วมขับเคลื่อนกับภาคีต่างๆในเชียงใหม่ควรเสนอข้อมูลทางวิชาการเพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เพื่อเป็นทางออกบนฐานความรู้ให้กับสังคมและผู้บริหารประเทศ” นายชัชวาล แสดงความคิดเห็น พร้อมกันนี้ได้ร่วมกับเครือข่าย ซึ่ง ประกอบด้วย มูลนิธิเพื่อการพันาที่ยั่งยืน สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า (สชป.) มูลนิธิพัฒนาเครือข่ายสุขภาพ เสนอแนะให้รัฐฟังเสียงสะท้อนของคนในท้องถิ่น และทบทวนมาตรการห้ามเผา โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการดำเนินวิถีชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ โดยเสนอทางออก 3 แนวทาง ได้แก่
1. นโยบายการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันไม่ควรจะเป็นแบบเดียวทั้ง 77 จังหวัด ควรจะคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายของพื้นที่ และมีการปรับให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการในแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ควรยึดตามแนวทางการบริหารจัดการไฟ (Fire Management) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการแก้ปัญหาไฟป่าฝุ่นควันและลดผลกระทบทางสุขภาพที่เหมาะสมต่อพื้นที่ โดยต้อง...
2. ขอให้มีการทบทวนข้อสั่งการของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเพื่อให้ไม่ให้ผู้ปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องทั้งชุมชน เจ้าหน้าที่ป่าไม้เกิดความสับสน และสามารถรับมือกับไฟเป่า หมอกควันที่กำลังมาถึง
3. การดำเนินนโยบายใด ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันเชียงใหม่ ควรรับฟังเสียงของท้องถิ่นและผู้ที่ได้รับผลกระทบของพื้นที่เป็นตัวตั้ง
เรื่อง : วีณา บารมี
คงไม่มีใครคาดคิดว่า ปีนี้เชียงใหม่จะกลายเป็นเมืองจมบาดาลซ้ำๆ 2 ครั้ง 2 คราในเวลาไล่เลี่ยกันเพียงไม่ถึงเดือน คำถามต่อมาที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วในอนาคตล่ะ ? เชียงใหม่จะเกิดน้ำท่วมใหญ่แบบนี้ทุกปีหรือไม่ และชาวเชียงใหม่จะต้องเตรียมรับมือกับอุทกภัยอย่างไรต่อไป ? ชวนไปหาคำตอบเรื่องนี้กับภายฉายในอนาคตข้างหน้าของเชียงใหม่
หม้อแปลงไฟฟ้าอัจฉริยะเป็นผลงานการวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มช. ที่คิดค้นหม้อแปลงที่สามารถคำนวณความต้องการใช้พลังงานของอาคาร และส่งข้อมูลไปยังแหล่งจ่ายไฟฟ้าเพื่อกำหนดปริมาณกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ
โมเดลรถสองแถวไฟฟ้า (EV) ที่เริ่มวิ่งให้บริการ 2 คันในเชียงใหม่ หวังต่อยอดไปสู่รถขนส่งและโดยสารอื่น ๆ ได้ในอนาคต